ยากลุ่มที่ 1 เป็นยาที่ลดระดับน้ำตาลที่ต้องรับประทานก่อนอาหาร ออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินเป็นหลัก โดยกลุ่ม glinide จะออกฤทธิ์เร็วแต่เวลาการออกฤทธิ์สั้นกว่ากลุ่ม sulfonylurea เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา 2. ยากลุ่มที่ 2เป็นยาที่รับประทานแบบหลังอาหาร ออกฤทธิ์เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน ลดภาวะดื้ออินซูลิน และ กลุ่มที่ 4 มีผลต่อฮอร์โมนทางเดินอาหาร ยับยั้งการทำลายเอนไซม์ GLP-1 3. ยากลุ่มที่ 3 ออกฤทธิ์ ออกฤชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตที่ลำไส้ต้องรับประทานพร้อมอาหาร 4.
พญ. นันทกร ทองแตง ที่ปรึกษา และพญ. นิดา ชูขำ แพทย์ประจำบ้านต่อยอด สาขาต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม ภาควิชาอยุรศาสตรื คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดย ศูนย์เบาหวานศิริราช วัน/เดือน/ปี: 6/5/2557 10:35:06 ความเห็นที่ 1 ศูนย์เบาหวานศิรราช จะดำเนินการหาคำตอบ มาไขข้อสงสัยให้ครับ ไม่นานเกินรอ ขอบคุณครับ วัน/เดือน/ปี: 28/4/2557 10:17:09 ร่วมสนทนาหัวข้อ: ผลข้างเคียงของยาเบาหวาน ผู้ร่วมสนทนา: E-mail: รายละเอียด: รูปภาพ:
ผลข้างเคียงของยาเบาหวาน อยากทราบว่ายาเบาหวานมีกี่ชนิด แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง โดย อยากรู้เรื่องยาเบาหวาน วัน/เดือน/ปี: 28/4/2557 9:49:11 หน้าที่ 1 ความเห็นที่ 2 ในปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานที่มีในประเทศไทยมีหลายกลุ่ม มีทั้งแบบรับประทานและฉีด ยาแต่ละชนิดมีวิธีการบริหารยาและผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป ยารักษาเบาหวานชนิดรับประทานที่มีในประเทศไทยปัจจุบันแบ่งเป็น 1. ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพิ่มขึ้น (insulin secretagogue) ได้แก่ ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylurea) เช่น glipizide, glibenclamide, glicazide และยากลุ่มที่ไม่ใช่ซัลโฟนิลยูเรีย (glinide) เช่น repaglinide 2. ยาที่มีฤทธิ์เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินสุลิน ลดภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ biguanide เช่น metformin และกลุ่ม thiazolidinedione เช่น pioglitazone 3. ยาที่มีฤทธิ์ลดการดูดซึมของกลูโคสที่ทางเดินอาหาร โดยยับยั้งเอ็นไซม์แอลฟ่ากลูโคไซเดส (alpha-glucosidase inhibitor) ที่ผนังลำไส้ 4. ยาที่มีผลต่อฮอร์โมนทางเดินอาหาร ยับยั้งการทำลายเอนไซม์ GLP-1 ได้แก่ยากลุ่ม DPP-4 inhibitor หรือ gliptin คำถาม 1: ยาลดระดับน้ำตาลที้เป็นแบบกินก่อนอาหารและแบบหลังอาหารว่าแตกต่างกันอย่างไร มีกลไกลการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ 1.